
เมื่อคุณกำลังซื้อขายหุ้น การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยให้คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในตลาด คุณสามารถใช้รูปแบบกราฟเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณได้ พวกมันจะปรากฏบนกราฟราคาและระบุทิศทางที่ตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น รวมถึงจุดที่คุณสามารถเปิดหรือปิดสถานะได้
ในบทความนี้ เราจะบอกให้คุณทราบว่ารูปแบบกราฟคืออะไร คุณจะนำไปใช้ในการเทรดได้อย่างไร และค้นหาเกี่ยวกับ 15 รูปแบบกราฟหุ้นที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยคุณในการเทรดได้
รูปแบบกราฟคืออะไร?
รูปแบบกราฟ คือการแสดงภาพกราฟิกของความผันผวนของราคาโดยใช้ชุดของเส้นแนวโน้มและเส้นโค้งบนกราฟ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกการขึ้นและลงที่เกิดขึ้นในตลาดนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของบางรูปแบบ แต่ถ้าราคาเคลื่อนไหวในลักษณะที่เคยสังเกตเห็นมาก่อนในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในตลาด ก็มีโอกาสสูงมากที่การก่อตัวใหม่นี้น่าจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดียวกันนั้นอีกครั้ง
รูปแบบกราฟมีขั้นตอนทำงานอย่างไร?
ตลาดถือว่ามีธรรมชาติเป็นวัฎจักร และรูปแบบกราฟจึงกลายเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการพยากรณ์ทิศทางในอนาคตของแนวโน้ม รูปแบบกราฟหุ้นก็เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทางเทคนิค พวกมันจะอิงจากแนวคิดที่ว่าพฤติกรรมของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเกิดซ้ำ ๆ ตามกาลเวลา
ราคาหุ้นไม่อาจเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นการสะท้อนการตัดสินใจของบุคคลจริงที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความทะเยอทะยานเดียวกันกับบรรพบุรุษของพวกเขา กราฟหุ้นก็เป็นตัวแทนของอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งจะสะท้อนถึงทั้งการมองโลกในแง่ดีและแง่ร้าย หากราคาสร้างรูปแบบที่คุ้นเคยอย่างชัดเจน เทรดเดอร์อาจลงเอยด้วยการตัดสินใจซื้อขายแบบเดียวกันกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้
เหตุผลที่คุณควรวิเคราะห์รูปแบบกราฟ
แม้ว่ารูปแบบจะไม่ได้มีความน่าเชื่อถือ 100% ในแง่ของการทำนายทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา แต่เราก็สามารถนำมันมาใช้ในรูปแบบอื่น ๆ ได้หลากหลาย กราฟจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานภายในตลาด — เมื่อเทรดเดอร์สนใจที่จะซื้อหุ้นมากกว่าขาย และในทำนองกลับกัน
เมื่อตลาดเคลื่อนไหวในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การคาดเดาก็จะง่ายขึ้น ระดับแนวรับและแนวต้าน จุดพุ่งทะลุ จุดเข้า และการดีดตัวที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์สามารถตรวจจับได้จากหนึ่งรูปแบบกราฟ ดังนั้นแม้ว่าแนวโน้มจะจบลงในทิศทางที่แตกต่างจากที่คุณคาดไว้ คุณก็จะมีข้อมูลเยอะมากที่จะใช้ในการปกป้องคำสั่งซื้อขายของคุณจากการสูญเสีย
ประเภทของรูปแบบกราฟ
รูปแบบกราฟมีอยู่หลากหลายรูปแบบ แต่เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มที่แตกต่างกัน:
รูปแบบต่อเนื่อง รูปแบบต่อเนื่องจะบ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะดำเนินต่อไปหลังจากที่รูปแบบเสร็จสมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบเหล่านี้จะปรากฏบนกราฟหุ้นหลังจากช่วงที่มีการสะสมราคาในระยะสั้น มันจะให้สัญญาณการหยุดชะงักชั่วคราวของแนวโน้ม แต่โดยปกติแล้วจะไม่นำไปสู่การกลับตัวของทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา
รูปแบบกลับตัว รูปแบบกลับตัวจะบ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง และทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาก็มีแนวโน้มที่จะกลับตัว
รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง รูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทางจะบ่งชี้ว่าตลาดยังไม่มีการตัดสินใจ ดังนั้นราคาอาจเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก็ได้ รูปแบบเหล่านี้สามารถถูกนำมาใช้เพื่อเทรดทั้งสองทิศทาง ดังนั้นเทรดเดอร์ควรรอให้ราคาพุ่งทะลุรูปแบบออกไปก่อนแล้วค่อยเข้าร่วมกับฝ่ายที่ชนะ
เปิดบัญชีทดลองประเภทกราฟที่สำคัญที่สุด
กราฟที่คุณสามารถใช้ในการซื้อขายได้นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่ประเภทที่สำคัญที่สุด ได้แก่ กราฟเส้น กราฟแท่ง และกราฟแท่งเทียน
กราฟเส้น จะแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวโดยทั่วไปของราคาตลาดในกรอบเวลาหนึ่ง ๆ โดยการลากเส้นระหว่างแต่ละราคาปิด พวกมันจะแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาปิดและแนวโน้มปัจจุบัน และช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นภาพรวมของความผันผวนของราคา
กราฟแท่ง ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ราคาเปิดและราคาปิด ตลอดจนราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด แต่ละแท่งจะแสดงราคาซื้อขายต่ำสุด (ด้านล่างของแท่ง) ราคาซื้อขายสูงสุด (ด้านบนของแท่ง) ช่วงการซื้อขาย (ตัวแท่ง) ราคาเปิด (เส้นแนวนอนฝั่งซ้าย) และราคาปิด (เส้นแนวนอนฝั่งขวา) ความยาวของแท่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นได้ว่าตลาดกำลังมีความผันผวนหรือมีเสถียรภาพ
กราฟแท่งเทียน มักจะถูกเรียกว่าเป็นกราฟแท่งอีกรูปแบบหนึ่ง กราฟแท่งเทียนจะแสดงข้อมูลเหมือนกับกราฟแท่ง แต่อ่านได้ง่ายกว่ามาก
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างกราฟทั้งสองประเภทคือ เนื้อแท่งเทียนจะแสดงช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด นอกจากนี้ แท่งเทียนยังมีสีสันที่แตกต่างกันอีกด้วย โดยหากราคาของสกุลเงินปิดต่ำกว่าราคาเปิด เนื้อแท่งเทียนจะเป็นสีแดง ในขณะที่เนื้อเทียนสีเขียวจะแสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด
การสร้างภาพข้อมูลนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์เห็นว่าตลาดปัจจุบันถูกครอบงำโดยผู้ซื้อหรือผู้ขาย และสามารถระบุแนวโน้มปัจจุบันได้ ในบทความนี้ เราจะมาพูดคุยกันถึงรูปแบบกราฟแท่งเทียน
15 รูปแบบกราฟหุ้นที่คุณควรรู้
Ascending triangle (สามเหลี่ยมเฉียงขึ้น)
รูปแบบกราฟแรกที่เราจะพิจารณาคือ Ascending Triangle รูปแบบนี้เป็นรูปแบบ ขาขึ้น ต่อเนื่องที่ก่อตัวขึ้นเมื่อราคาเริ่มแกว่งตัวในช่วงที่แคบลง เส้นบน (แนวต้าน) ของสามเหลี่ยมเฉียงขึ้นจะเป็นเส้นแนวนอน ในขณะที่จุดต่ำสุดจะสร้างเส้นล่าง (แนวรับ) ที่กำลังปีนเข้าหาเส้นแนวต้าน มันจะไต่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าราคาจะทะลุเส้นแนวต้านในที่สุด ยืนยันรูปแบบ แล้วเคลื่อนไหวขึ้นต่อ
Descending triangle (สามเหลี่ยมลาดลง)
ขั้วตรงข้ามของ ascending ก็คือ descending triangle ซึ่งเป็นรูปแบบขาลงต่อเนื่องที่ปรากฏขึ้นเมื่อราคาของหุ้นเริ่มเคลื่อนไหวระหว่างเส้นแนวต้านที่ค่อย ๆ ลาดลงและแนวรับที่เป็นเส้นแนวนอน เมื่อเส้นแนวต้านและแนวรับบรรจบกัน การพุ่งทะลุก็จะเกิดขึ้น — ราคาก็จะยิ่งร่วงต่ำลงและดำเนินต่อไปในแนวโน้มขาลง
Symmetrical triangle (สามเหลี่ยมด้านเท่า)
รูปแบบสุดท้ายของรูปแบบกรอบสามเหลี่ยมก็คือ symmetrical triangle ซึ่งก่อตัวขึ้นจากเส้นแนวรับที่เฉียงขึ้นและเส้นแนวต้านที่ลาดลง ราคาจะดีดกลับจากทั้งสองเส้นในช่วงที่ค่อย ๆ แคบลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเส้นทั้งสองตัดกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าราคาจะไปในทิศทางใดหลังจากที่มันพุ่งทะลุออกไปได้ เนื่องจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็มีอิทธิพลต่อตลาดเท่ากัน นี่คือเหตุผลที่ symmetrical triangle นั้นเป็นรูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทาง เทรดเดอร์ควรวางสองคำสั่ง Stop ไว้ทั้งเหนือและใต้เส้น

Flag (ธง)
รูปแบบ flag มักจะเกี่ยวข้องกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและได้กำไรเร็ว มันเป็นรูปแบบต่อเนื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงกลางของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง รูปแบบ flag จะก่อตัวขึ้นเมื่อแนวโน้มเข้าสู่ช่วงสะสมราคาสั้น ๆ ซึ่งมันอาจเป็นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง หลังจากที่พุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างกะทันหัน (ที่เราเรียกกันว่า "เสาธง") ราคาจะเริ่มผันผวนและย้อนกลับไปหาการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่อยู่ในช่วงแคบ ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เอียงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน ราคาก็จะทะลุเส้นใดเส้นหนึ่งและเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางก่อนหน้าในขณะที่ได้รับแรงหนุนอย่างรวดเร็ว

Pennant (ชายธง)
รูปแบบ pennant จะดูคล้าย ๆ กับรูปแบบ flag หรือ symmetrical triangle ที่เป็นรูปแบบต่อเนื่องกันเช่นกัน แต่มันก็ค่อนข้างแตกต่างจากรูปแบบทั้งสองดังกล่าว เช่นเดียวกับรูปแบบ flag มันจะเกิดขึ้นเมื่อราคาเข้าสู่ช่วงสะสมราคาหลังจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันในทิศทางเดียว ("เสาธง") อย่างไรก็ตาม ตัวของชายธงนั้นจะก่อตัวจากเส้นสองเส้นมาบรรจบกันโดยไม่ขนานกัน ซึ่งจะทำให้ดูคล้ายกับรูปแบบ symmetrical triangle อย่างไรก็ตาม รูปแบบสามเหลี่ยมไม่ได้เกิดขึ้นก่อนเสาธง เนื่องจากรูปแบบนี้มักเกิดขึ้นในตลาดที่ไม่มั่นคง ในทางกลับกัน รูปแบบ pennant จะเกิดขึ้นภายในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หลังจากที่เส้นทั้งสองมาบรรจบกัน ราคาจะทะลุออกไปและส่วนใหญ่มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก

Double top
รูปแบบ double top เป็นรูปแบบตลาดขาลงที่เกิดขึ้นก่อนการกลับตัวเป็นขาลงระยะกลางหรือระยะยาว รูปแบบ double top จะประกอบด้วยสองยอดสูงสุดและหนึ่งร่องต่ำสุด และมีลักษณะเหมือนตัวอักษร "M" มันจะเริ่มต้นเมื่อราคาย้อนกลับหลังจากพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากแรงต้านของฝั่งผู้ขาย ต่อมามันจะดีดตัวกลับขึ้นไปอีกครั้ง แต่พอแตะถึงระดับสูงสุดก่อนหน้า มันก็จะดิ่งกลับลงมาอีก เมื่อมันตัดผ่านเส้น neckline (คอเสื้อ) ก็จะถือว่ารูปแบบได้รับการยืนยัน และแนวโน้มก็จะกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง
Double bottom
รูปแบบ double bottom จะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับรูปแบบ double top เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง และโดยทั่วไปมันจะส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น รูปแบบ double bottom มีลักษณะเหมือนตัวอักษร "W" ซึ่งจะก่อตัวขึ้นเมื่อราคาพุ่งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ร่วงลงมาเป็นเวลานาน จากนั้นก็จะกลับตัวลงมาแต่เด้งออกจากแนวรับแล้วเริ่มพุ่งสูงขึ้นจนทะลุเส้น neckline เทรดเดอร์มักจะใช้รูปแบบนี้เพื่อระบุโอกาสที่ดีที่สุดในการเริ่มเปิดสถานะ long ระยะยาว
Triple bottom
รูปแบบ triple bottom เป็นรูปแบบการกลับตัวขาขึ้นที่เกิดขึ้นหลังจากช่วงขาลงอันยืดเยื้อ มันประกอบไปด้วยจุดต่ำสุดสามจุดติดกันโดยเว้นระยะห่างจากกันไม่มาก ซึ่งแต่ละจุดจะอยู่ในระดับราคาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน รูปแบบ triple bottom จะให้สัญญาณว่าแม้ผู้ซื้อจะพยายามแล้วก็ตาม แต่ผู้ขายก็ไม่ยอมสละตำแหน่งง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากจุดต่ำสุดที่สาม พวกเขามักจะยอมจำนนต่อผู้ซื้อแล้วปล่อยให้ราคาเริ่มขยับขึ้นหลังจากที่ทะลุเส้น neckline รูปแบบนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุด แต่ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากที่สุดเช่นกัน ดังนั้น หากคุณสามารถระบุรูปแบบนี้ดังกล่าวบนกราฟได้ อย่าลืมทำกำไรจากมันให้ได้มากที่สุดละกัน

Wedge (ลิ่ม)
รูปแบบ wedge จะเกิดขึ้นเมื่อราคาเริ่มเคลื่อนไหวระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้นที่บรรจบกันที่สร้างกรอบที่แคบลงอย่างต่อเนื่อง รูปแบบนี้อาจเป็นได้ทั้งขาขึ้นหรือขาลง ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของตัวรูปแบบเอง
รูปแบบ falling Wedge (ลิ่มลาดลง) ถูกมองว่าเป็นรูปแบบขาขึ้น มันอาจเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลงหรือแนวโน้มขาขึ้น และทำหน้าที่เป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือการไปต่อ รูปแบบ falling wedge จะมีลักษณะด้านบนกว้าง ๆ จากนั้นจะค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ เมื่อราคาเคลื่อนตัวลง เมื่อแรงกดดันจากผู้ขายลดลง ผู้ซื้อจะได้รับโอกาสในการชะลอการร่วงลงของราคา ซึ่งจะนำไปสู่การที่ราคาพุ่งทะลุแนวต้านแล้วดำเนินต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น
รูปแบบ rising wedge (ลิ่มเฉียงขึ้น) นั้นจะตรงกันข้ามกับรูปแบบ falling wedge โดยทั่วไป มันจะเป็นรูปแบบขาลงที่อาจส่งสัญญาณความต่อเนื่องหรือการกลับตัวของแนวโน้ม ขึ้นอยู่กับว่าตลาดมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก่อนที่รูปแบบนี้จะเกิดขึ้น มันจะประกอบไปด้วยเส้นแนวโน้มสองเส้นที่มาบรรจบกัน และราคากำลังขยับขึ้นภายในช่วงของการสะสมราคา แต่ในที่สุดผู้ซื้อก็จะอ่อนแรงลง จึงทำให้ผู้ขายสามารถทำลายแนวรับได้ สร้างแนวโน้มใหม่ที่เป็นขาลง (หรือลงต่อตามแนวโน้มขาลงก่อนหน้า)

เทรดเลยHead and shoulders
รูปแบบ head and shoulders มักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายของแนวโน้มขาขึ้นและเกิดขึ้นก่อนการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง มันจะประกอบด้วยการแกว่งตัวสามครั้ง โดยที่สองยอดที่อยู่ด้านข้างจะมีขนาดเล็กกว่ายอดที่อยู่ตรงกลางและจะอยู่ในระดับเดียวกัน การแกว่งตัวลงครั้งสุดท้ายมีแนวโน้มที่จะทะลุเส้น neckline (เส้นที่เชื่อมต่อด้านล่างของรูปแบบ) ซึ่งเป็นสัญญาณให้เทรดเดอร์ขายหุ้นของตน

Inverse head and shoulders
รูปแบบนี้จะเป็นรูปแบบที่ตรงกันข้ามกับรูปแบบที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ มันจะก่อตัวขึ้นในแนวโน้มขาลงและส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น รูปแบบ inverse head and shoulders จะประกอบไปด้วยสามร่องภูเขา โดยที่ร่องที่อยู่ตรงกลางจะลึกที่สุด รูปแบบนี้จะถูกเข้าซื้อขายในลักษณะคล้าย ๆ กับรูปแบบ head and shoulders เพียงแต่มันจะเกิดขึ้นก่อนแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้นเทรดเดอร์จำเป็นต้องซื้อหุ้นทันทีที่ราคาทะลุเส้น neckline
Cup and handle
รูปแบบ cup and handle นั้นเป็นรูปแบบขาขึ้น โดยทั่วไป มันจะเกิดขึ้นในช่วงขาขึ้นและเทรดเดอร์จะใช้เพื่อค้นหาโอกาสในการเปิดสถานะ long รูปแบบนี้จะมีลักษณะเหมือนตัวอักษร "U" ซึ่งจะตามมาด้วยการปรับตัวลงเล็กน้อยคล้าย ๆ กับหูจับถ้วย หูจับจะมีลักษณะคล้ายรูปแบบ flag หรือ pennant แต่ในไม่ช้าราคาก็จะทะลุเส้นแนวต้าน และแนวโน้มขาขึ้นก็จะได้รับแรงหนุนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

Gaps
Gaps คือช่องว่างบนกราฟที่เกิดขึ้นในตลาดที่ผันผวน พวกมันจะปรากฏขึ้นในตอนที่ตลาดกำลังประสบกับความสนใจในการซื้อหรือขายในระดับที่ไม่ธรรมดา ความสนใจนี้จะนำไปสู่การเทรดหุ้นแม้ในตอนข้ามคืนที่ตลาดปิด ส่งผลให้ราคาเปิดของหุ้นในวันถัดไปนั้นมีความแตกต่างจากราคาปิดของวันก่อนหน้าเป็นอย่างมาก เทรดเดอร์มักจะใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้โดยการเข้าซื้อหุ้น โดยหวังว่าช่องว่างจะเกิดขึ้นในวันถัดไป หรือโดยการขายหุ้นหลังจากช่องว่างได้เกิดขึ้นไปแล้ว

Bump and run
รูปแบบ bump and run เป็นรูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นได้ยากทั้งในตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง รูปแบบ bump and run จะเกิดขึ้นเมื่อราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากเส้นแนวโน้มไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก จากนั้นจึงย้อนกลับการเคลื่อนไหว และในที่สุดก็ทะลุผ่านเส้นแนวโน้มก่อนหน้า ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดแนวโน้มใหม่ โดยทั่วไปรูปแบบนี้มักจะมองเห็นได้ในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า แต่บางครั้งก็อาจปรากฏบนกราฟภายในวันก็ได้

Price channel
รูปแบบ price channel เป็นรูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งสองทางที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง รูปแบบ price channel จะก่อตัวขึ้นในตอนที่ราคาเริ่มแกว่งตัวภายในกรอบที่จำกัด การแกว่งตัวจะเด้งออกจากแนวต้านและแนวรับที่วิ่งขนานกันอยู่ ราคาอาจเคลื่อนไหวขึ้น ลง หรือด้านข้างก็ได้

จะสามารถจดจำรูปแบบกราฟต่าง ๆ ได้อย่างไร?
หนึ่งในวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดในการระบุรูปแบบกราฟหุ้นคือการลากเส้นแนวโน้มแล้วดูว่าราคาเบี่ยงเบนไปจากทิศทางของมันหรือไม่ หากคุณเห็นราคาแกว่งไปมาในกรอบที่จำกัด การลากเส้นผ่านจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจะช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ารูปแบบกำลังก่อตัวอยู่หรือไม่ แรก ๆ มันอาจดูเหมือนยาก แต่หลังจากที่ได้ฝึกฝนแล้ว คุณจะสามารถจดจำรูปแบบกราฟหุ้นต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น แพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณอาจมีตัวคัดกรองรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณค้นพบโอกาสในการซื้อขายใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ลงทะเบียนเลยสรุป
รูปแบบกราฟหุ้นถูกเทรดเดอร์นำมาใช้มานานหลายทศวรรษแล้ว หากสามารถระบุมันได้อย่างถูกต้อง มันจะช่วยยืนยันจุดเริ่มต้นของแต่ละแนวโน้ม และช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุโอกาสในการซื้อขายใหม่ ๆ ได้ รูปแบบกราฟหุ้นทั้ง 15 รูปแบบข้างต้นจะช่วยปรับปรุงความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับวิธีการทำงานของตลาด และช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในทิศทางของการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างแม่นยำ